ตัวอย่างคำให้การจำเลย แก้คดีหนี้บัตรเครดิตและหนี้สินเชื่อบุคคล

            การให้การต่อสู้คดีเรื่องหนี้บัตรเครดิตและหนี้สินเชื่อบุคคลจะมีข้อเท็จจริงไม่แตกต่างกันมากนัก สามารถปรับเปลี่ยนให้เข้ากับข้อเท็จจริงของท่านได้ คำให้การจะมีเนื้อความดังนี้

            ข้อ ๑. จำเลยยอมรับว่าจำเลยได้เคยยื่นคำขอสมัครเป็นผู้ถือบัตรเครดิตประเภทบัตรเครดิตธนาคาร.....และธนาคารโจทก์ได้ออกบัตรเครดิตเลขที่ ๐๐๐๔-๐๑๒๕-๐๐๐๕-xxxx ให้แก่จำเลยจริง แต่จำเลยขอให้การปฏิเสธฟ้องโจทก์ข้อ ๒. ว่าจำเลยไม่เคยตกลงว่า เมื่อมีการชำระหักทอนบัญชีแล้วหากบัญชีบัตรเครดิตของจำเลยมียอดค้างชำระเป็นลูกหนี้โจทก์ จำเลยยอมเสียดอกเบี้ยให้โจทก์ในยอดหนี้ที่ค้างชำระนั้นในอัตราดอกเบี้ยที่โจทก์เรียกเก็บตามสัญญาการใช้บัตรเครดิตในอัตราสูงสุดโดยคำนวณเป็นรายวันรวมชำระเป็นรายรอบเดือนบัญชีจนกว่าบัญชีบัตรเครดิตของจำเลยไม่มียอดหนี้เป็นลูกหนี้อยู่กับโจทก์ จำเลยไม่เคยตกลงยินยอมเสียค่าธรรมเนียมในกรณีผิดนัดหรือผิดเงื่อนไขการชำระและ/หรือค่าธรรมเนียมอื่นใดและ/หรือระยะเวลาหักทอนบัญชี ตลอดจนระเบียบเงื่อนไขการใช้บัตรเครดิตเมื่อใดจำเลยไม่เคยตกลงยินยอมที่มีการเปลี่ยนแปลงนั้นและหากมีการเปลี่ยนแปลงอย่างใดๆโจทก์ต้องแจ้งให้จำเลยทราบการเปลี่ยนแปลงอย่างใดๆนั้นด้วย ทั้งจำเลยได้ชำระเงินต้นและดอกเบี้ยให้โจทก์เสร็จสิ้นหมดแล้วโดยชำระหนี้ครั้งสุดท้ายเมื่อวันที่ ๗ กรกฎาคม ๒๕๔๘ การที่โจทก์อ้างว่าเมื่อถึงวันฟ้องจำเลยคงค้างชำระหนี้โจทก์รวมเป็นเงินทั้งสิ้น ๑๔๙,๘๙๕.๗๖ บาท ตามเอกสารท้ายคำฟ้องหมายเลข ๕ นั้น โจทก์คิดคำนวณไม่ถูกต้อง
            ข้อ ๒. จำเลยยอมรับว่าจำเลยได้เคยยื่นคำขอสมัครเพื่อขอสินเชื่อบุคคลพร้อมทำสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีกับโจทก์จริง แต่จำเลยขอให้การปฏิเสธว่าจำเลยไม่เคยทำสัญญาตกลงยินยอมเสียดอกเบี้ยให้แก่โจทก์ในอัตราสูงสุดทั้งจำเลยไม่เคยยินยอมให้โจทก์นำดอกเบี้ย ค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายต่างๆทบเข้ากับต้นเงินที่ค้างชำระในขณะนั้นกลายเป็นเงินต้นที่จำเลยต้องเสียดอกเบี้ยตามสัญญาที่โจทก์อ้างตามฟ้องโจทก์ข้อ ๓. แต่อย่างใดๆทั้งจำเลยได้ชำระต้นเงินและดอกเบี้ยให้โจทก์หมดสิ้นแล้ว โดยชำระหนี้ครั้งสุดท้ายเมื่อวันที่ ๑๔ มิถุนายน ๒๕๔๘ การที่โจทก์อ้างว่าเมื่อถึงวันฟ้องจำเลยคงค้างชำระหนี้โจทก์รวมเป็นเงินทั้งสิ้น ๒๓๖,๑๗๒.๑๙ บาท ตามเอกสารท้ายคำฟ้องหมายเลข ๙ นั้น โจทก์คิดคำนวณไม่ถูกต้อง
            ข้อ ๓. จำเลยขอให้การตัดฟ้องโจทก์ด้วยข้อกฎหมายว่า การที่โจทก์ให้จำเลยกู้เงินและคิดดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๒๘ ต่อปี และคิดดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๒๙ ต่อปี ตามคำฟ้องโจทก์หน้าที่ ๘ ตามเอกสารท้ายคำฟ้องหมายเลข ๙ นั้น ถือเป็นการบังอาจกำหนดจะเอาหรือรับเอาซึ่งกำไรอื่นอันเป็นเงินจนเห็นได้ชัดว่าประโยชน์ที่รับมากเกินส่วนอันสมควรตามเงื่อนไขแห่งการกู้ยืมอันเป็นการฝ่าฝืนพระราชบัญญัติห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา พ.ศ. ๒๔๗๕ มาตรา ๓ ซึ่งเป็นความผิดที่มีโทษทางอาญา ข้อสัญญาในการคิดดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๒๘ และ ๒๙ ต่อปี เงินค่าปรับและค่าธรรมเนียมหรือเงินที่เรียกอย่างอื่นดังกล่าวที่โจทก์อ้างข้างต้นย่อมเป็นข้อสัญญาที่มีวัตถุประสงค์เป็นการต้องห้ามชัดแจ้งโดยกฎหมายอันเป็นการขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน จึงตกเป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๕๐ ข้อตกลงส่วนดอกเบี้ยและเงินที่เรียกอื่นๆจึงเป็นโมฆะ อย่างไรก็ตามจำเลยได้ชำระหนี้ให้โจทก์หมดสิ้นครบถ้วนแล้ว
           ข้อ ๔.โจทก์ไม่เคยมีประกาศอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ ค่าบริการ ค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายอื่นๆตามที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนดให้ธนาคารพาณิชย์ปฏิบัติในเรื่องดอกเบี้ยค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายอื่นๆ ตามเอกสารท้ายฟ้อหมายเลข ๑๐ แต่อย่างใดๆ การคิดดอกเบี้ยในเอกสารท้ายฟ้องโจทก์หมายเลข ๕ จึงไม่ถูกต้องตรงกับความจริง ความจริงคือจำเลยชำระหนี้ทั้งต้นเงินและดอกเบี้ยแก่โจทก์เสร็จสิ้นแล้ว
           ข้อ ๕. จำเลยไม่เคยได้รับหนังสือทวงถามให้จำเลยชำระหนี้และบอกเลิกสัญญาของทนายความโจทก์ตามเอกสารท้ายฟ้องโจทก์หมายเลข ๑๑ แต่อย่างใดๆทั้งสิ้น เนื่องจากจำเลยชำระหนี้ทั้งต้นเงินและดอกเบี้ยแก่โจทก์เสร็จสิ้นแล้ว
           ข้อ ๖. จำเลยขอให้การปฏิเสธและต่อสู้คดีว่า ใบสมัครและข้อตกลงการเป็นผู้ถือบัตรเครดิตของธนาคารโจทก์ ตามเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข ๓ และใบสมัครวงเงินสินเชื่อบุคคลและสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีพิเศษ ตามเอกสารท้ายคำฟ้องหมายเลข ๖ และ ๗ นั้นเป็นข้อสัญญาที่ไม่เป็นธรรมกล่าวคือ จำเลยในฐานะผู้บริโภคได้เข้าทำสัญญากับโจทก์ซึ่งเป็นผู้ประกอบธุรกิจการค้า โดยทำสัญญาดังกล่าวข้างต้นอันเป็นสัญญาสำเร็จรูปซึ่งข้อตกลงในสัญญาทั้งสามฉบับดังกล่าวข้างต้นทำให้โจทก์ได้เปรียบจำเลยเกินสมควรและเป็นข้อสัญญาที่ไม่เป็นธรรม เนื่องจากมีข้อตกลงที่มีลักษณะให้จำเลยรับภาระเกินกว่าที่วิญญูชนจะพึงคาดหมายได้ตามปกติ คือข้อตกลงที่กำหนดวิธีคิดดอกเบี้ยทบต้น ค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายอื่นๆอย่างไม่เป็นธรรม ทำให้จำเลยต้องรับภาระเกินสมควร ตามพระราชบัญญัติว่าด้วยข้อสัญญาที่ไม่เป็นธรรม พ.ศ. ๒๕๔๐ มาตรา ๔  
          อาศัยเหตุผลทั้งข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายที่จำเลยได้กราบเรียนมา จึงขอศาลได้โปรดพิจารณาพิพากษายกฟ้องโจทก์ ให้โจทก์ชดใช้ค่าฤชาธรรมเนียมและค่าทนายความแทนจำเลยด้วย
                              ควรมิควรแล้วแต่จะโปรด
                      ลงชื่อ                                     จำเลย
             คำให้การจำเลยฉบับนี้ ข้าพเจ้านาย พ. จำเลยเป็นผู้เรียงและพิมพ์
                      ลงชื่อ                                     ผู้เรียงและพิมพ์