เมื่อวันที่ ๒๓ พฤศจิกายน ๒๕๕๕ กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน โจทก์ได้ยื่นฟ้องจำเลยที่ ๑ (ผู้กู้) และจำเลยที่ ๒ (ผู้ค้ำประกัน) เป็นคดีผู้บริโภคที่ศาลแขวงดุสิต คดีหมายเลขดำที่ ผบ.๒๒๒๖/๒๕๕๕ เรื่อง ผิดสัญญากู้ยืมเงินและค้ำประกัน ขอให้ชำระเงินต้นจำนวน ๑๒,๐๐๐ บาทและเบี้ยปรับจำนวน ๒๒,๗๘๓.๕๖ บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น ๓๔,๗๘๓.๕๖ บาท
ศาลนัดให้จำเลยทั้งสองไปศาลเพื่อการไกล่เกลี่ย ให้การและสืบพยานในวันที่ ๒๘ มกราคม ๒๕๕๖ เวลา ๙.๐๐ น.
เราได้จัดเตรียมเอกสารให้จำเลยทั้งสองเพื่อยื่นคำคู่ความต่อสู้คดีต่อศาลดังนี้ (๑) คำให้การจำเลยที่ ๑ , (๒) คำให้การจำเลยที่ ๒ , (๓) คำร้องขอให้ศาลวินิจฉัยเบื้องต้นข้อกฎหมาย , (๔) บัญชีพยานจำเลยที่ ๑ , (๕) บัญชีพยานจำเลยที่ ๒ และ (๖) ใบมอบฉันทะจำเลยที่ ๒ โดยจำเลยที่ ๑ ได้ไปยื่นคำให้คู่ความดังกล่าวต่อศาลแขวงดุสิตด้วยด้วยตนเองในวันที่ ๒๒ มกราคม ๒๕๕๖ โดยยื่นเฉพาะเอกสารของจำเลยที่ ๑เท่านั้น
เมื่อถึงวันนัดพิจารณาวันที่ ๒๘ มกราคม ๒๕๕๖ เวลา ๙.๐๐ น. จำเลยทั้งสองไม่ได้ไปศาล เพราะได้ยื่นคำให้การต่อสู้คดีโดยตั้งประเด็นที่เป็นข้อชี้ขาดผลคดีว่าชนะหรือแพ้แล้ว ในวันนัดพิจารณาคดีดังกล่าวศาลมีคำสั่งว่าจำเลยทั้งสองขาดนัดพิจารณา แค่โจทก์มีคำขอบังคับให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระหนี้เป็นเงินจำนวนแน่นอน จึงให้โจทก์ส่งพยานเอกสารแทนการสืบพยานและพิพากษาในวันดังกล่าวโดยให้เหตุผลในคำพิพากษาว่า
พิเคราะห์แล้วได้ความตามคำฟ้องว่า จำเลยที่ ๑ กู้ยืมเงินโจทก์ ๑๒,๐๐๐ บาท ยอมเสียดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๑ ต่อปี หากผิดนัดยอมเสียเบี้ยปรับในอัตราร้อยละ ๑๕ ต่อปี มีจำเลยที่ ๒ ทำสัญญาค้ำประกันโดยยอมรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วม หลังจากทำสัญญาจำเลยที่ ๑ มิได้ชำระหนี้แก่โจทก์เลย โจทก์ทวงถามแล้วแต่จำเลยทั้งสองเพิกเฉย คำฟ้องของโจทก์จึงมีมูล ชอบที่ศาลจะมีคำพิพากษาให้โจทก์เป็นฝ่ายชนะคดีโดยจำเลยทั้งสองขาดนัดพิจารณาได้ ส่วนการกำหนดจำนวนเงินตามคำขอบังคับนั้น แม้จำเลยทั้งสองจะให้กรต่อสู้เรื่องอายุความไว้แล้ว แต่ก้ไม่ได้มานำสืบต่อสู้ให้เห็นตามคำให้การ คดีจึงฟังไม่ได้ว่าฟ้องโจทก์ขาดอายุความ จำเลยทั้งสองมีความรับผิดต้องชำระหนี้แก่โจทก์ เมื่อพิเคราะห์จากพยานเอกสารที่โจทก์ส่งต่อศาลแทนการสืบพยานแล้ว คือ รายการคำนวณหนี้เอกสารหมาย จ. ๑๑ ปรากฏว่าจำเลยที่ ๑ ค้างชำระต้นเงินทั้งหมด โจทก์คิดเบี้ยปรับนับแต่วันที่ ๑ เมษายน ๒๕๔๓ จนถึงวันฟ้องเป็นเงิน ๒๒,๗๘๓.๕๖ บาท รวมต้นเงินและเบี้ยปรับ ๓๔,๗๘๓.๕๖ บาท แต่โจทก์มีคำขอท้ายฟ้องมาเพียง ๓๔,๗๓๘.๕๖ บาท จึงกำหนดให้ในจำนวนเงินดังกล่าว จำเลยที่ ๒ ผู้ค้ำประกันโดยยอมรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วม จึงต้องร่วมรับผิดต่อโจทก์
พิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินแก่โจทก์ ๓๔,๗๓๘.๕๖ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๑๕ ต่อปีในต้นเงิน ๑๒,๐๐๐ บาท นับแต่วันฟ้อง (ฟ้องวันที่ ๒๓ พฤศจิกายน ๒๕๕๕) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ กับให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์โดยกำหนดค่าทนายความ ๓,๐๐๐ บาท
นายประดินท์ อำพรสุต
คดีหมายเลขแดงที่ ผบ.๑๔๖/๒๕๕๖
ด้วยความเคารพ เราเห็นว่าเหตุผลของคำพิพากษาที่ว่า "แม้จำเลยทั้งสองจะให้การต่อสู้เรื่องอายุความไว้แล้ว แต่ก้ไม่ได้มานำสืบต่อสู้ให้เห็นตามคำให้การ คดีจึงฟังไม่ได้ว่าฟ้องโจทก์ขาดอายุความ" นั้นเป็นเหตุผลที่คลาดเคลื่อน เพราะจำเลยทั้งสองให้การต่อสู้เรื่องอายุความซึ่งเป็นประเด็นข้อกฏหมาย และประเด็นข้อกฎหมายนั้นเป็นเรื่องที่ศาลควรทราบได้เอง ไม่จำเป็นต้องนำพยานเข้าสืบ