เมื่อวันที่ ๙ มิถุนายน ๒๕๕๒ บริษัท อีซี่บาย จำกัด (มหาชน) ได้ทำสัญญาซื้อขายบัญชีลูกหนี้ซึ่งเป็นทรัพย์สินเกี่ยวกับธุรกิจสินเชื่อรวมทั้งภาระแห่งหนี้ให้แก่ บริษัท เจ เอ็ม ที เน็ทเวอร์ค เซอร์วิสเซ็ส จำกัด (มหาชน) รวมทั้งสิ้น ๑๗,๑๑๒ รายเป็นมูลหนี้รวมจำนวน ๔๔๘,๐๙๑,๐๘๐ บาท (สี่ร้อยสี่สิบแปดล้านเก้าหมื่นหนึ่งพันแปดสิบาท) โดยชำระราคาเป็นจำนวน ๑๕,๖๘๓.๑๘๗.๘๐ บาท (สิบห้าล้านหกแสนแปดหมื่นสามพันหนึ่งร้อยแปดสิบเจ็ดบาทแปดสิบสตางค์) ซึ่งเท่ากับอัตราร้อยละ ๓.๕ ของมูลหนี้ ผลจากการซื้อขายดังกล่าวทำให้บริษัท เจ เอ็ม ที เน็ทเวอร์ค เซอร์วิสเซ็ส จำกัด (มหาชน) ได้มาซึ่งทรัพย์สินหรือสิทธิเรียกร้องเกี่ยวกับหนี้ทั้งปวง ดังนั้นลูกหนี้ทั้ง ๑๗,๑๑๒ รายคงต้องถูกฟ้องดำเนินคดีแน่นอน เช่นลูกหนี้รายที่จะกล่าวต่อไปนี้ คือ
เมื่อวันที่ ๒๙ ตุลาคม ๒๕๕๕ บริษัท เจ เอ็ม ที เน็ทเวอร์ค เซอร์วิสเซ็ส จำกัด (มหาชน) ซึ่งซื้อบัญชีหนี้มาจาก บริษัท อีซี่บาย จำกัด (มหาชน) ได้เป็นโจทก์ยื่นฟ้องจำเลย (ผู้กู้) เป็นคดีผู้บริโภค ที่ศาลจังหวัดจันทบุรี คดีหมายเลขดำที่ ผบ.๑๗๐๖/๒๕๕๕ เรื่อง ผิดสัญญากู้ยืมเงิน เรียกให้ชำระหนี้ ขอให้ชำระเงินต้นจำนวน ๒๓,๐๐๐ บาทดอกเบี้ยผิดนัดจำนวน ๓๓,๖๑๑.๕๑ บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น ๕๖,๖๑๑.๕๑ บาท
ศาลนัดพิจารณาไกล่เกลี่ย ให้การและสืบพยานในวันที่ ๑๗ ธันวาคม ๒๕๕๕ เวลา ๑๓.๓๐ น.
เราได้จัดเตรียมเอกสารให้จำเลยเพื่อยื่นคำคู่ความต่อสู้คดีต่อศาลดังนี้ (๑) คำให้การจำเลย , (๒) คำร้องขอให้ศาลวินิจฉัยเบื้องต้นข้อกฎหมาย และ (๓) บัญชีพยานจำเลย โดยเมื่อวันที่ ๖ ธันวาคม ๒๕๕๕ จำเลยได้ไปยื่นคำคู่ความดังกล่าวต่อศาลจังหวัดจันทบุรีด้วยตนเอง การยื่นคำให้การต่อสู้คดีดังกล่าวเป็นการตั้งประเด็นข้อกฎหมายที่เป็นข้อชี้ขาดถึงผลของคดีว่าชนะหรือแพ้แล้ว ซึ่งหลังจากนี้ก็เพียงแต่รอถึงวันนัดพิจารณาคดีของศาลเท่านั้น
วันนัดพิจารณาไกล่เกลี่ย ให้การและสืบพยานในวันที่ ๑๗ ธันวาคม ๒๕๕๕ เวลา ๑๓.๓๐ น. จำเลยไม่ไปศาลโดยทราบว่าเมื่อได้ยื่นคำให้การตั้งประเด็นสู้คดีไว้แล้ว ถึงแม้ขาดนัดพิจารณาก็ไม่ได้ทำให้เกิดผลเสียหายต่อรูปคดี
คดีนี้ต่อมาเมื่อวันที่ ๒๕ ธันวาคม ๒๕๕๕ ศาลได้มีคำพิพากษาว่า ยกฟ้องค่าฤชาธรรมเนียมเป็นพับ เป็นคดีหมายเลขแดงที่ ผบ.๑๘๕๕/๒๕๕๕