ฐานความผิด ทำไม้หรือทำอันตรายด้วยประการใดๆแก่หวงห้ามโดยไม่ได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ร่วมกันเกินยี่สิบท่อน , ทำไม้หรือกระทำด้วยประการใดๆอันเป็นการเสื่อมเสียแก่สภาพป่าสงวนแห่งชาติโดยไม่ได้รับอนุญาต , ก่อให้เกิดความเสียหายแก่ไม้อื่นรวมกันเกินยี่สิบท่อน มีไว้ในครอบครองซึ่งไม้หวงห้ามอันยังไม่ได้แปรรูปโดยไม่มีรอยตราค่าภาคหลวงหรือรอยตรารัฐบาลขายรวมกันเกินยี่สิบท่อน
ข้อ ๑. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตร (ปัจจุบันได้เปลี่ยนเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์) ได้อาศัยอำนาจตามพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๐๗ มาตรา ๕ และ มาตรา ๖ ออกกฎกระทรวง ฉบับที่ ๒๙๑ (พ.ศ.๒๕๑๑) ลงวันที่ ๖ เมษายน ๒๕๑๑ และประกาศในราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่ ๓๐ เมษายน ๒๕๑๑ กำหนดให้ป่าดงสายทอ ในท้องที่ตำบลกระโพ อำเภอท่าตูม จังหวัดสุรินทร์ ในแนวเขตตามแผนที่ท้ายกฎกระทรวงเป็นป่าสงวนแห่งชาติ และพนักงานเจ้าหน้าที่ได้ปิดประกาศสำเนากระทรวงและแผนที่ท้ายกฎกระทรวงดังกล่าวไว้ ณ ที่ว่าการอำเภอท้องที่ ที่ทำการกำนันท้องที่ และเปิดเผยเห็นได้ง่ายในหมู่บ้านท้องที่นั้น เพื่อให้ประชาชนได้ทราบแนวเขตป่าสงวนแห่งชาติ และจำเลยได้ทราบประกาศดังกล่าวโดยชอบด้วยกฎหมายแล้ว ดังปรากฏรายละเอียดตามสำเนาประกาศท้ายฟ้อง
ข้อ ๒. เนื่องด้วยมีพระราชกฤษฎีกากำหนดไม้หวงห้าม พ.ศ.๒๕๓๐ ได้กำหนดให้ไม้พันชาด ในป่าทุกจังหวัดทั่วราชอาณาจักรเป็นไม้หวงห้าม ประเภท ก ตามบัญชีต่อท้ายพระราชกฤษฎีกาดังกล่าว อันดับที่ ๕๗ พระราชกฤษฎีกาฉบับนี้ได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษามาพ้นกำหนดเก้าสิบวันนับแต่วันประกาศแล้ว ทางราชการได้คัดสำเนาประกาศไว้ ณ ที่ว่าการอำเภอ ที่ทำการกำนัน และที่สาธารณสถานในท้องที่ซึ่งเกี่ยวข้องและในท้องที่เกิดเหตุคดีนี้ให้ทราบทั่วกันและจำเลยได้ทราบแล้ว
ข้อ ๓. เมื่อวันที่ ๑๓ ธันวาคม ๒๕๕๓ เวลากลางวัน จำเลยนี้ได้บังอาจกระทำผิดต่อกฎหมายหลายกรรมต่างกัน กล่าวคือ
๓.๑ จำเลยได้บังอาจบุกรุกเข้าไปก่อสร้าง แผ้วถาง ตัด ฟัน ทำลายต้นไม้และทำไม้ คือ ไม้พัดชาด ซึ่ง
เป็นไม้หวงห้ามประเภท ก ตามบัญชีต่อท้ายพระราชกฤษฎีกาดังกล่าวในฟ้องข้อ ๒ ลำดับที่ ๕๗ ภายในป่าดงสายทอ ซึ่งอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติดังกล่าวในฟ้องข้อ ๑.โดยจำเลยใช้มีดตัดไม้เป็นอุปกรณ์เครื่องมือ เครื่องใช้ ในการตัด ฟัน ไม้ดังกล่าวจนขาดออกจากต้นแล้วตัดทอนเป็นท่อนซึ่งไม้หวงห้ามประเภท ก ดังกล่าวในฟ้องข้อ ๒.ชนิดไม้พันชาด รวมทั้งสิ้นจำนวน ๘๐ ท่อน อันมีปริมาณไม้รวมกันเกินยี่สิบท่อน แล้วชักลากไม้ดังกล่าวขึ้นรถเข็น ๒ ล้อจำนวน ๑ คัน ชักลากนำเคลื่อนย้ายไม้ออกไปจากป่าสงวนแห่งชาติดังกล่าว อันเป็นการทำไม้และกระทำอันตรายด้วยประการใดๆ แก่ไม้หวงห้ามอันทำให้เกิดการเสื่อมเสียแก่สภาพป่าสงวนแห่งชาติ ทั้งนี้ โดยจำเลยไม่ได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ และมิได้รับสัมปทานหรือได้รับการยกเว้นใดๆ ตามกฎหมายให้ทำไม้ดังกล่าวได้ อันเป็นการฝ่าฝืนต่อกฎหมาย
๓.๒ จำเลยได้บังอาจมีไม้พันชาด ซึ่งเป็นไม้ที่จำเลยตัด ฟัน ทำไม้ดังกล่าวในฟ้องข้อ ๓.๑.รวมทั้งสิ้น
จำนวน ๘๐ ท่อน อันมีปริมาณไม้รวมกันเกินยี่สิบท่อน ตามบัญชีต่อท้ายพระราชกฤษฎีกา อันเป็นไม้หวงห้ามประเภท ก. ดังกล่าวในฟ้องข้อ ๒.ลำดับที่ ๕๗ ที่ยังมิได้แปรรูปไว้ในครอบครองโดยไม้เหล่านี้ไม่มีรอยตราค่าภาคหลวงหรือรอยตรารัฐบาลขาย และจำเลยพิสูจน์ไม่ได้ว่าได้ไม้ดังกล่าวมาโดยชอบด้วยกฎหมาย อันเป็นการฝ่าฝืนต่อกฎหมาย
เหตุตามฟ้องข้อ ๓.๑ และ ๓.๒ เกิดที่ตำบลกระโพ อำเภอท่าตูม จังหวัดสุรินทร์
ข้อ ๔. ตามวันเวลาดังกล่าวในฟ้องข้อ ๓.เจ้าพนักงานจับจำเลยได้พร้อมด้วยไม้พันชาด จำนวน ๘๐ ท่อน ที่จำเลยได้มาจากการกระทำความผิดและมีไว้เป็นความผิดดังกล่าวในฟ้องข้อ ๓.๑ และ ๓.๒ มีดตัดไม้ จำนวน ๑ เล่ม และรถเข็น ๒ ล้อ จำนวน ๑ คัน อันเป็นยานพาหนะและเป็นอุปกรณ์เครื่องมือ เครื่องใช้ และเป็นยานพาหนะที่จำเลยใช้ตัด ฟัน ทำไม้ และใช้ชักลากและตัดฟันไม้หวงห้ามออกจากป่าสงวนแห่งชาติ ที่จำเลยได้มาจากการกระทำความผิดและมีไว้เป็นความผิดดังกล่าวในฟ้องข้อ ๓.๑ และ ๓.๒ เป็นของกลาง นำส่งพนักงานสอบสวน ทำการสอบสวนแล้ว
ขั้นสอบสวน จำเลยให้การรับสารภาพ
ของกลางทั้งหมดเจ้าพนักงานเก็บรักษาไว้
ระหว่างสอบสวน จำเลยถูกควบคุมตัวตั้งแต่วันถูกจับ และได้รับการประกันตัวไปในวันเดียวกันนั้น ตลอดมา ได้ส่งตัวจำเลยมาศาลพร้อมฟ้องนี้แล้ว
อนึ่ง หากจำเลยขอประกันตัวขอให้อยู่ในดุลพินิจของศาล
คำขอท้ายคำฟ้องอาญา
การที่จำเลยได้กระทำตามข้อความที่กล่าวมาในคำฟ้องนั้น ข้าพเจ้าถือว่าเป็นความผิดต่อกฎหมายและบทมาตราดังนี้ คือ พระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ.๒๔๘๔ มาตรา ๔,๖,๑๑,๖๙,๗๓,๗๔,๗๔ ทวิ พระราชบัญญัติป่าไม้ (ฉบับที่ ๓) พ.ศ.๒๔๙๔ มาตรา ๖ พระราชบัญญัติป่าไม้ (ฉบับที่๔) พ.ศ.๒๕๐๓ มาตรา๑๘ พระราชบัญญัติป่าไม้ (ฉบับที่๕) พ.ศ.๒๕๑๘ มาตรา ๔ พระราชบัญญัติป่าไม้ (ฉบับที่ ๖) พ.ศ.๒๕๒๒ มาตรา ๙ พระราชบัญญัติป่าไม้ (ฉบับที่ ๗) พ.ศ. ๒๕๒๕ มาตรา ๓,๔ พระราชกฤษฎีกากำหนดไม้หวงห้าม พ.ศ.๒๕๓๐ มาตรา ๔ บัญชีท้ายพระราชกฤษฎีกากำหนดไม้หวงห้าม พ.ศ.๒๕๓๐ ลำดับที่ ๕๗ พระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ.๒๕๐๗ มาตรา ๔,๑๔,๓๑,๓๕ พระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ (ฉบับที่ ๓) พ.ศ.๒๕๒๘ มาตรา ๔ พระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ.๒๕๒๒ มาตรา ๓ กฎกระทรวง ฉบับที่ ๒๙๑ (พ.ศ.๒๕๑๑)ออกตามความในพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ.๒๕๐๗ ลงวันที่ ๖ เมษายน ๒๕๑๑ ประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๓๓,๙๑ พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ ๖) พ.ศ.๒๕๒๖ มาตรา ๔
ขอศาลได้พิจารณาพิพากษาลงโทษจำเลยตามกฎหมาย และขอศาลได้สั่ง
ริบไม้พันชาด จำนวน ๘๐ ท่อน, มีดตัดไม้ จำนวน ๑ เล่ม และรถเข็น ๒ ล้อ จำนวน ๑ คัน ของกลาง
ข้าพเจ้าได้ยื่นสำเนาคำฟ้อง โดยข้อความถูกต้องเป็นอย่างเดียวกันมาด้วย หนึ่ง ฉบับ และรอฟังคำสั่งอยู่ ถ้าไม่รอให้ถือว่าทราบแล้ว
............................................................... โจทก์
คำฟ้องฉบับนี้ข้าพเจ้า..............................................................................................................
พนักงานอัยการ จังหวัดรัตนบุรี เป็นผู้เรียง
.....................................................................ผู้เรียง
คำฟ้องฉบับนี้ข้าพเจ้า นาง บ.
ตำแหน่ง เจ้าพนักงานธุรการชำนาญงาน เป็นผู้เขียนหรือพิมพ์
...................................................ผู้เขียนหรือพิมพ์