.jpg)
เรื่อง ผิดสัญญาสินเชื่อบัตรเครดิต เรียกค่าเสียหาย
จำนวนทุนทรัพย์ ๗๐,๐๕๐ บาท ๘๔ สตางค์
ข้อ ๑. เดิมโจทก์เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัด ต่อมาได้จดทะเบียนแปรสภาพเป็นนิติบุคคลตามกฎหมายประเภทบริษัทมหาชนจำกัด ใช้ชื่อว่า “บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน)” ประกอบกิจการด้านธุรกิจบัตรเครดิตและธุรกิจสินเชื่อบุคคลโดยมี นาง ก. นาย อ. นาย ส. นาง ศ. นาย ร. นาง ป. และนาง อ. กรรมการสองคนลงลายมือชื่อร่วมกันพร้อมประทับตราสำคัญของบริษัท มีอำนาจกระทำการแทนโจทก์ รายละเอียดปรากฎตาม สำเนาหนังสือรับรอง เอกสารท้ายคำฟ้อง หมายเลข ๑
ในการดำเนินการฟ้องคดีนี้ โจทก์โดย นาย อ. และนาง ศ. ได้ลงลายมือชื่อพร้อมประทับตราสำคัญของโจทก์ มอบอำนาจให้ นาย ร. เป็นผู้รับมอบอำนาจและให้มีอำนาจในการดำเนินคดีแทนโจทก์ได้ รวมทั้งให้มีอำนาจมอบอำนาจให้บุคคลหนึ่งบุคคลใดเป็นผู้รับมอบอำนาจช่วงได้ รายละเอียดปรากฎตาม สำเนาหนังสือมอบอำนาจ ลงวันที่ ๒๒พฤษภาคม ๒๕๕๕ เอกสารท้ายคำฟ้อง หมายเลข ๒
ต่อมาเมื่อวันที่ ๒๘ พฤษภาคม ๒๕๕๕ นาย ร. ผู้รับมอบอำนาจโจทก์ได้มอบอำนาจให้ นาย ป. เป็นผู้รับมอบอำนาจ ให้มีอำนาจในการดำเนินคดีแทนโจทก์รวมทั้งให้มีอำนาจมอบอำนาจให้บุคคลหนึ่งบุคคลใดเป็นผู้รับมอบอำนาจช่วงได้ด้วย รายละเอียดปรากฎตามสำเนาหนังสือมอบอำนาจ ลงวันที่ ๒๘ พฤษภาคม ๒๕๕๕ เอกสารท้ายคำฟ้อง หมายเลข ๓
ต่อมาเมื่อวันที่ ๘ พฤศจิกายน ๒๕๕๕ นาย ป. ผู้รับมอบอำนาจช่วงได้มอบอำนาจช่วงให้ นางสาว อ. เป็นผู้รับมอบอำนาจช่วงโจทก์ ให้มีอำนาจในการดำเนินคดีแทนโจทก์และเป็นผู้มอบอำนาจฟ้องคดีได้ด้วยเช่นเดียวกัน รวมทั้งให้มีอำนาจในการแต่งตั้งทนายความเพื่อให้ว่าต่างหรือแก้ต่างคดีได้ด้วย รายละเอียดปรากฎตาม สำเนาหนังสือมอบอำนาจ ลงวันที่ ๕ พฤศจิกายน ๒๕๕๕ เอกสารท้ายคำฟ้อง หมายเลข ๔
ข้อ ๒. จำเลยได้มายื่นใบสมัครบัตรเครดิตกับโจทก์จำนวนสองฉบับดังต่อไปนี้
๒.๑ เมื่อวันที่ ๒๗ สิงหาคม ๒๕๕๑ จำเลยได้ยื่นเอกสารคำขอสินเชื่อบัตรเครดิตไว้กับโจทก์เพื่อพิจารณาอนุมัติคำขอของจำเลย ต่อมาโจทก์ก็ได้อนุมัติให้จำเลยเป็นสมาชิกผู้ถือบัตรเครดิตหมายเลข xxxx-xxxx-xxxx-xxxx วงเงินสินเชื่อจำนวน ๕๐,๐๐๐ บาท โดยปัจจุบันได้ปรับเปลี่ยนหมายเลขบัตรสมาชิกจำเลยเป็นหมายเลข xxxx-xxxx-xxxx-xxxx
โดยมีข้อกำหนดและเงื่อนไขในการใช้บัตรเครดิต เพื่อซื้อสินค้า และหรือบริการต่างๆ แทนเงินสด ณ สถานประกอบการค้า ซึ่งมีเครื่องหมายหรือสัญลักษณ์ธนาคารที่มีข้อตกลงกับโจทก์หรือเบิกถอนเงินสดจากเครื่องฝาก-ถอนอัตโนมัติ (เอ.ที.เอ็ม.) หรือเคาน์เตอร์ของธนาคารทีมีข้อตกลงกับโจทก์ และเมื่อร้านสมาชิกหรือสถานประกอบการค้าที่รับบัตรเครดิตส่งยอดรายการซื้อสินค้า หรือยอดเบิกถอนเงินสดมาเรียกเก็บเงิน โจทก์จะเป็นผู้ชำระเงินให้กับทางร้านค้าแทนลูกค้าไปก่อน แล้วจะเรียกเก็บจากลูกค้าในภายหลัง โดยจะแจ้งยอดรายการซื้อสินค้า และ/หรือบริการดังกล่าวให้ลูกค้าทราบ เพื่อให้ลูกค้านำเงินเข้าชำระให้กับโจทก์ตามจำนวนที่เรียกเก็บ และหากโจทก์เรียกเก็บเงินไม่ได้ หรือได้แต่ไม่ครบถ้วนตามจำนวนเงินที่ค้างชำระนั้น ลูกค้าต้องเสียดอกเบี้ยในอัตราสูงสุดตามประกาศที่โจทก์กำหนด ซึ่งโจทก์แจ้งให้ลูกค้าทราบก่อนแล้ว นับแต่วันที่ค้างชำระจนถึงวันชำระหนี้เสร็จสิ้น รายละเอียดปรากฎตาม สำเนาคำขอสมัครเป็นสมาชิกบัตรเครดิตพร้อมเอกสารประกอบการสมัครและข้อกำหนดเงื่อนไขการใช้บัตรเครดิต เอกสารท้ายคำฟ้อง หมายเลข ๕
๒.๒ เมื่อวันที่ ๒๔ เมษายน ๒๕๕๓ จำเลยได้ยื่นเอกสารคำขอสินเชื่อบัตรเครดิตเคทีซีวีซ่าหรือมาสเตอร์การ์ด (KTC Visa/MasterCard) ไว้กับโจทก์ เพื่อพิจารณาอนุมัติคำขอของจำเลย ต่อมาโจทก์ก็ได้อนุมัติให้จำเลยเป็นสมาชิกผู้ถือบัตรเครดิต หมายเลข xxxx-xxxx-xxxx-xxxx วงเงินสินเชื่อจำนวน ๕๐,๐๐๐ บาท
โดยมีข้อกำหนดและเงื่อนไขในการใช้บัตรเครดิต เพื่อซื้อสินค้า และ/หรือบริการต่างๆ แทนเงินสด ณ สถานประกอบการค้า ซึ่งมีเครื่องหมายหรือสัญลักษณ์ธนาคารที่มีข้อตกลงกับโจทก์หรือเบิกถอนเงินสดจากเครื่องฝาก-ถอนอัตโนมัติ (เอ.ที.เอ็ม.) หรือเคาน์เตอร์ของธนาคารที่มีข้อตกลงกับโจทก์ และเมื่อร้านสมาชิกหรือสถานประกอบการค้าที่รับบัตรเครดิตส่งยอดรายการซื้อสินค้า หรือยอดเบิกถอนเงินสดมาเรียกเก็บเงิน โจทก์จะเป็นผู้ชำระเงินให้กับทางร้านค้าแทนลูกค้าไปก่อน แล้วจะเรียกเก็บจากลูกค้าในภายหลัง โดยจะแจ้งยอดรายการซื้อสินค้า และ/หรือบริการดังกล่าวให้ลูกค้าทราบ เพื่อให้ลูกค้านำเงินเข้าชำระให้กับโจทก์ตามจำนวนที่เรียกเก็บ และหากโจทก์เรียกเก็บเงินไม่ได้ หรือได้แต่ไม่ครบถ้วนตามจำนวนเงินที่ค้างชำระนั้น ลูกค้าต้องเสียดอกเบี้ยในอัตราสูงสุดตามประกาศที่โจทก์กำหนด ซึ่งโจทก์แจ้งให้ลูกค้าทราบก่อนแล้ว นับแต่วันที่ค้างชำระจนถึงวันชำระหนี้เสร็จสิ้น รายละเอียดปรกฎตามสำเนาคำขอสมัครเป็นสมาชิกบัตรเครดิตพร้อมเอกสารประกอบการสมัครและข้อกำหนดเงื่อนไขการใช้บัตรเครดิต เอกสารท้ายคำฟ้อง หมายเลข ๖
ข้อ ๓. ภายหลังจากจำเลยได้ทำสัญญาและรับบัตรเครดิตทั้งสองบัตรไปจากโจทก์แล้วจำเลยได้ใช้บริการบัตรเครดิตประกอบรหัสประจำตัวตามที่โจทก์ออกให้เบิกเงินสดผ่านเครื่องฝาก-ถอนอัตโนมัติ (เอ.ที.เอ็ม.) และถอนเงินสดที่หน้าเคาน์เตอร์ของธนาคารฯ รวมทั้งใช้บัตรเครดิตชำระค่าซื้อสินค้าและบริการแทนเงินสด จากร้านค้าที่เป็นสมาชิกของโจทก์หลายครั้งหลายหน ซึ่งทางร้านค้าได้ส่งหลักฐานหรือรายการแสดงการใช้บัตรของจำเลยมาเรียกเก็บเงินจากโจทก์ และโจทก์ได้ทดรองจ่ายเงินให้แก่สถานประกอบการค้า ร้านค้า และธนาคารพาณิชย์แห่งอื่น ตามจำนวนที่ปรากฎในใบแจ้งยอดหนี้และทุกรอบการตัดบัญชี โจทก์ก็ได้จัดส่งรายการใบแจ้งหนี้ให้แก่จำเลยทราบทุกครั้ง แต่เนื่อจากจำเลยนำเงินเข้าบัญชีเพื่อชำระหนี้เป็นครั้งคราว ต่อมาจำเลยมิได้นำเงินเข้าบัญชีเพื่อชำระให้กับโจทก์ จนทำให้ยอดหนี้ของจำเลยแสดงยอดหนี้ตกเป็นลูกหนี้โจทก์ตลอดมา
โจทก์ได้คิดดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ ๑๕ ต่อปี ของต้นเงินที่ค้างชำระ และโจทก์ได้ประกาศกำหนดค่าธรรมเนียมการใช้วงเงินอัตราร้อยละ ๒.๗๕ ต่อปีนับแต่วันที่ ๑ เมษายน ๒๕๔๗ ถึงวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๔๘ ต่อมาโจทก์ได้ประกาศกำหนดค่าธรรมเนียมการใช้วงเงินอัตราร้อยละ ๓ ต่อปี นับแต่วันที่ ๑ มกราคม ๒๕๔๙ ถึงวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๐ และได้ประกาศกำหนดค่าธรรมเนียมการใช้วงเงินอัตราร้อยละ ๕ ต่อปี นับแต่วันที่ ๑ กรกฎาคม ๒๕๕๐ เป็นต้นไป ค่าใช้จ่ายในการติดตามทวงถามยอดค้างชำระ จำนวน ๒๕๐ บาทต่อครั้ง ไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม ตามข้อกำหนดและเงื่อนไขการใช้บัตรเครดิต และได้แจ้งให้จำเลยทราบแล้ว หลังจากนั้นจำเลยยังคงซื้อสินค้าและบริการเรื่อยมาจนเต็มวงเงินที่โจทก์อนุมัติและตกเป็นหนี้โจทก์ตลอดมา ซึ่งโจทก์ได้คิดดอกเบี้ยจากจำเลยตามข้อตกลงตลอดมาจากยอดเงินที่ค้างชำระนับตั้งแต่วันที่สรุปยอดค่าใช้จ่ายแต่ละงวดถึงวันสรุปยอดค่าใช้จ่ายงวดถัดไป ดังต่อไปนี้
๓.๑ บัตรเครดิต หมายเลข xxxx-xxxx-xxxx-xxxx โดยจำเลยชำระหนี้ครั้งสุดท้ายเมื่อวันที่ ๒๕ มีนาคม ๒๕๕๔ จำนวน ๖๐๐ บาท จำเลยตกเป็นลูกหนี้ของโจทก์ มียอดหนี้ค่างชำระเพียง ณ วันที่ ๑๒ กันยายน ๒๕๕๔ ซึ่งเป็นวันที่โจทก์หักทอนบัญชี เป็นต้นเงินจำนวน ๘,๑๖๒.๖๙ บาท ดอกเบี้ยและค่าธรรมเนียมอื่นๆ จำนวน ๒,๒๓๑.๖๗ บาท รวมเป็นเงิน ๑๐,๓๙๔.๓๖ บาท รายละเอียดปรากฎตาม สำเนาใบแจ้งยอดหนี้ค่าใช้จ่ายบัตรเครดิต เอกสารท้ายคำฟ้อง หมายเลข ๗
โจทก์ได้ติดตามทวงถามจำเลยหลายครั้งหลายหน แต่จำเลยก็เพิกเฉยตลอดมา จำเลยต้องรับผิดชำระหนี้ให้แก่โจทก์เป็นต้นเงินจำนวน ๘,๑๖๒.๖๙ บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ ๑๕ ต่อปี และค่าธรรมเนียมการใช้วงเงินในอัตราร้อยละ ๕ ต่อปี นับแต่วันที่ ๑๓ กันยายน ๒๕๕๔ ซึ่งคำนวณภาระหนี้ถึงวันฟ้องคิดดอกเบี้ยเป็นจำนวน ๒,๕๔๕.๕๘ บาท และค่าธรรมเนียมการใช้วงเงินเป็นเงินจำนวน ๕๘๒.๕๗ บาท รวมเป็นเงินที่จำเลยต้องชำระให้แก่โจทก์จนถึงวันฟ้องทั้งสิ้นจำนวน ๑๒,๗๒๔.๖๗ บาท รายละเอียดปรากฎตาม สำเนาใบบันทึกการคำนวณดอกเบี้ยค้างชำระ (บัตรเครดิต) เอกสารท้ายคำฟ้อง หมายเลข ๘
๓.๒ บัตรเครดิตหมายเลข xxxx-xxxx-xxxx-xxxx โดยจำเลยชำระหนี้ครั้งสุดท้ายเมื่อวันที่ ๒๕ มีนาคม ๒๕๕๔ จำนวน ๒,๗๐๐ บาท จำเลยตกเป็นลูกหนี้ของโจทก์มียอดหนี้ค้างชำระเพียง ณ วันที่ ๑๑ ตุลาคม ๒๕๕๔ เป็นต้นเงินจำนวน ๔๐,๘๗๑.๐๕ บาท ดอกเบี้ยและค่าธรรมเนียมอื่นๆ จำนวน ๕,๔๓๖.๗๖ บาท รวมเป็นเงินจำนวน ๔๖,๓๐๗.๘๑ บาท รายละเอียดปรากฎตาม สำเนาใบแจ้งยอดหนี้ค่าใช้จ่ายบัตรเครดิต เอกสารท้ายคำฟ้อง หมายเลข ๙
โจทก์ได้ติดตามทวงถามจำเลยหลายครั้งหลายหน แต่ก็เพิกเฉยตลอดมา จำเลยต้องรับผิดชำระหนี้ให้แก่โจทก์เป็นต้นเงินจำนวน ๔๐,๘๗๑.๐๕ บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ ๑๕ ต่อปีและค่าธรรมเนียมการใช้วงเงินอัตราร้อยละ ๕ ต่อปี นับแต่วันที่ ๑๒ ตุลาคม ๒๕๕๔ ซึ่งคำนวณภาระหนี้ถึงวันฟ้องคิดเป็นดอกเบี้ยจำนวน ๑๒,๓๖๓.๐๕ บาท และค่าธรรมเนียมการใช้วงเงิน เป็นเงินจำนวน ๒,๗๕๔.๖๐ บาท ค่าธรรมเนียมอื่นๆ จำนวน ๑,๓๓๗.๕๐ บาท รวมเป็นเงินที่จำเลยต้องชำระให้แก่โจทก์จนถึงวันฟ้องทั้งสิ้นจำนวน ๕๗,๓๒๖.๒๐ บาท รายละเอียดปรากฎตาม สำเนาใบบันทึกรายการคำนวณดอกเบี้ยค้างชำระ(บัตรเครดิต) เอกสารท้ายคำฟ้อง หมายเลข ๑๐
ข้อ ๔. รวมภาระหนี้บัตรเครดิตทั้งสองบัตรที่จำเลยต้องชำระให้แก่โจทก์ ณ วันฟ้องทั้งสิ้นเป็นเงินจำนวน ๗๐,๐๕๐.๘๔ บาท
ข้อ ๕. ก่อนฟ้องเป็นคดีนี้โจทก์ได้ติดตามทวงถามเอากับจำเลยแล้วหลายครั้งหลายหน ต่อเมื่อวันที่ ๓ ตุลาคม ๒๕๕๕ โจทก์ได้มีหนังสือบอกกล่าวให้จำเลยชำระหนี้อีกครั้ง แต่ปรากฎว่าจำเลยก็เพิกเฉยไม่ชำระหนี้ให้แก่โจทก์แต่อย่างใด รายละเอียดปรากฎตาม สำเนาหนังสือบอกกล่าวให้ชำระหนี้และสำเนาใบตอบรับทางไปรษณีย์แห่งประเทศไทยและซองจดหมาย เอกสารท้ายคำฟ้องหมายเลข ๑๑ และ ๑๒ ตามลำดับ
ข้อ ๖. โจทก์ได้รับอนุญาตจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ให้ประกอบธุรกิจบัตรเครดิตและธุรกิจสินเชื่อส่วนบุคคลได้ ทั้งนี้ภายใต้การกำกับดูแลของธนาคารแห่งประเทศไทย การคิดดอกเบี้ยและค่าธรรมเนียมการใช้วงเงินและค่าธรรมเนียมอื่นๆ ของโจทก์นั้น โจทก์ได้อาศัยสิทธิตามข้อตกลงในสัญญา และอาศัยสิทธิตามประกาศกระทรวงการคลัง ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย และประกาศบริษัทโจทก์ รายละเอียดปรากฎตาม สำเนาประกาศกระทรวงการคลัง ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย และประกาศบริษัทโจทก์ เอกสารท้ายคำฟ้องหมายเลข ๑๓ ถึง ๑๕ ตามลำดับ
โจทก์ไม่มีทางอื่นใดที่จะบังคับให้จำเลยชำระหนี้ให้โจทก์ได้ จึงต้องนำคดีนี้มาฟ้องเพื่อขอบารมีศาลเป็นที่พึ่ง
ควรมิควรแล้วแต่จะโปรด
คำขอท้ายฟ้องคดีผู้บริโภค
ขอศาลโปรดออกหมายเรียกจำเลยมาพิจารณาพิพากษาและบังคับจำเลยตามคำขอต่อไปนี้
๑. ขอให้จำเลยชำระเงินแก่โจทก์จำนวน ๗๐,๐๕๐.๘๔ บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ ๑๕ ต่อปี จากต้นเงินสินเชื่อบัตรเครดิตจำนวน ๔๙,๐๓๓.๗๔ บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไป จนกว่าจะชำระเสร็จสิ้นแก่โจทก์
๒. ขอให้จำเลยชดใช้ค่าฤชาธรรมเนียมและค่าทนายความในอัตราอย่างสูงแทนโจทก์ด้วย
๓. ให้จำเลยส่งมอบสิ่งของ -
๔. อื่นๆ -
ข้าพเจ้ายื่นมาพร้อมสำเนาโดยข้อความถูกต้องเป็นอย่างเดียวกันมาด้วย หนึ่ง ฉบับ และรอฟังคำสั่งอยู่
หากไม่รอถือว่าทราบแล้ว
.................โจทก์
(นางสาว ล.) ทนายความโจทก์
ข้าพเจ้า .................เจ้าพนักงานคดี/ผู้บันทึก
ข้าพเจ้า นางสาว ล. ทนายความ ใบอนุญาตที่ ......./๒๕๕๐ ผู้เรียง/พิมพ์
(นางสาว ล.) ทนายความโจทก์