.jpg) |
เรื่อง ผิดสัญญาบัตรเครดิต, ผิดสัญญาสินเชื่อบุคคล (สปีดี้แคช)
จำนวนทุนทรัพย์ ๙๗,๐๗๕ บาท ๔๓ สตางค์
ข้อ ๑. โจทก์เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทมหาชนจำกัด จดทะเบียนเป็นนิติบุคคลตามกฎหมาย ณ สำนักงานทะเบียนหุ้นส่วนบริษั ทกรุงเทพมหานคร กรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ มีวัตถุประสงค์ในการประกอบกิจการธนาคารพาณิชย์ มีกรรมการ ๑๕ คน โดยนายวิชิต สุรพงษ์ชัย ประธานกรรมการบริหาร หรือ นาง ก. กรรมการผู้จัดการใหญ่ คนใดคนหนึ่ง หรือนาย บ. และคุณหญิง ช. ลงลายมือชื่อร่วมกัน มีอำนาจกระทำการแทนโจทก์ได้โดยชอบด้วยกฎหมาย รายละเอียดปรากฎตามภาพถ่ายหนังสือรับรองการจดทะเบียนโจทก์ เอกสารท้ายคำฟ้อง หมายเลข ๑ โจทก์โดยนาง ก. กรรมการผู้จัดการใหญ่ ได้มอบอำนาจให้นาย ช. รักษาการผู้จัดการประสานงานคดี และ/หรือ นางสาว ธ. เจ้าหน้าที่ประสานงานคดี กลุ่มงานกฎหมาย ของธนาคารโจทก์ เป็นผู้รับมอบอำนาจของธนาคารโจทก์ ในอันที่จะกระทำการแทนโจทก์ในหน้าที่ที่ได้รับการแต่งตั้งตลอดระยะเวลาที่ดำรงตำแหน่งดังกล่าว ภายใต้บทบัญญัติแห่งกฎหมายการธนาคารพาณิชย์และภายในขอบแห่งอำนาจหน้าที่หรือวัตถุประสงค์และข้อบังคับ ตลอดจนคำสั่ง ระเบียบของธนาคารโจทก์และตามประเพณีของธนาคารพาณิชย์ รวมทั้งให้มีอำนาจตั้งทนายความหรือตั้งพนักงานธนาคารโจทก์หรือบุคคลอื่นเป็นผู้รับมอบอำนาจช่วงเพื่อดำเนินการแทนตามอำนาจที่ได้รับมอบหมายทั้งหมดหรือบางส่วนได้ รายละเอียดปรากฎตามสำเนาหนังสือมอบอำนาจเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข ๒ คดีนี้ นาย ช. ผู้รับมอบอำนาจจากธนาคารโจทก์ได้มอบอำนาจให้ นาย ส. และ/หรือ นาย ป. เป็นผู้รับมอบอำนาจช่วงของธนาคารโจทก์ในการฟ้องร้องและดำเนินคดีกับลูกหนี้ของโจทก์ทุกคดีรวมทั้งในคดีนี้ด้วย รายละเอียดตามภาพถ่ายหนังสือมอบอำนาจช่วงเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข ๓
ข้อ ๒. จำเลยเป็นลูกค้าสินเชื่อบัตรเครดิตและสินเชื่อบุคคลของธนาคารโจทก์โดยมีมูลหนี้ค้างกับโจทก์ดังนี้
มูลหนี้ที่ ๑ เมื่อประมาณเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๔๘ จำเลยได้ยื่นคำขอเป็นผู้ถือบัตรและทำสัญญาการใช้บัตรเครดิตไทยพาณิชย์ไว้กับศูนย์บริการบัตรเครดิตสำนักงานใหญ่ของโจทก์ และโจทก์ได้ตกลงอนุมัติให้จำเลยเป็นลูกค้าสมาชิกบัตรเครดิตของโจทก์ โดยได้ออกบัตรเครดิตหมายเลข xxxx-xxxx-xxxx-xxxx ในวงเงินใช้จ่าย ๓๐,๐๐๐ บาท เพื่อให้จำเลยใช้บัตรเครดิตดังกล่าวในการชำระสินค้า และหรือบริการต่างๆ แทนเงินสด ให้แก่ร้านค้าหรือสถานที่ให้บริการที่เป็นสมาชิกของโจทก์ หรือใช้บัตรเครดิตดังกล่าวเบิกเงินสดที่เคาน์เตอร์ของธนาคารโจทก์ หรือธนาคารอื่นที่เป็นสมาชิกร่วมกับโจทก์หรือใช้บัตรเครดิตดังกล่าวคู่กับรหัสส่วนตัวที่โจทก์ออกให้เบิกถอนเงินสดจากตู้เบิกถอนเงินอัตโนมัติ (เอทีเอ็ม) โดยจำเลยตกลงจะปฎิบัติตามสัญญาเงื่อนไขและข้อกำหนดการใช้บัตรเครดิดของโจทก์ทุกประการ และจำเลยตกลงด้วยว่าในกรณีที่เรียกเก็บเงินอันเนื่องมาจากการใช้บัตรเครดิตที่โจทก์ออกให้ จำเลยขอให้โจทก์ออกเงินชำระหนี้พร้อมทั้งค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายอื่นๆ แทนจำเลยไปก่อน โดยไม่ต้องขอความยินยอมหรือแจ้งให้จำเลยทราบล่วงหน้า และจำเลยจะชำระหนี้คืนให้ตามจำนวนที่โจทก์แจ้งให้จำเลยทราบเป็นรอบบัญชีรายเดือนโดยมีขั้นต่ำ ๑๐ เปอร์เซ็นต์ของยอดหนี้ตามใบแจ้งยอดบัญชีในแต่ละเดือนและตามกำหนดระยะเวลาที่โจทก์ได้แจ้งให้จำเลยทราบในใบแจ้งยอดบัญชีดังกล่าว และในกรณีที่จำเลยชำระหนี้ไม่ครบถ้วนในคราวเดียวกันให้ถือว่าชำระผ่อนชำระหนี้ในส่วนที่เหลือโดยจำเลยยินยอมเสียดอกเบี้ยให้แก่โจทก์ในอัตราสูงสุดสำหรับบัตรเครดิตตามที่โจทก์ประกาศกำหนดภายใต้ประกาศของธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่องการกำหนดให้ธนาคารพาณิชย์ปฎิบัติในเรื่องดอกเบี้ยและส่วนลด (ซึ่งขณะทำสัญญาเท่ากับร้อยละ ๒๐ ต่อปี และต่อไปอาจเปลี่ยนแปลงตามที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนดเป็นคราวๆ ไป นับแต่วันที่ค้างชำระหนี้เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ รายละเอียดปรากฎตามภาพถ่ายใบคำขอสมัครบัตรเครดิตพร้อมสัญญาเงื่อนไขการใช้บัตรเครดิต เอกสารท้ายคำฟ้อง หมายเลข ๔ – ๕
ข้อ ๓. ภายหลังจากที่โจทก์ได้อนุมัติบัตรเครดิตให้แก่จำเลยดังกล่าวแล้ว จำเลยได้นำบัตรเครดิตที่โจทก์ออกให้ไปใช้แทนการชำระค่าซื้อสินค้า หรือ ค่าบริการ และ / หรือใช้เบิกถอนเงินสดตามวิธีการที่กล่าวในข้อ ๒.เรื่อยมา และโจทก์ได้ชำระเงินตามรายการที่มีการเรียกเก็บมายังโจทก์แทนจำเลยไปทุกครั้ง พร้อมทั้งได้มีหนังสือแจ้ง เป็นรายเดือนให้จำเลยทราบถึงยอดรายการการใช้บัตรเครดิตและกำหนดระยะเวลาให้จำเลยนำเงินเข้าชำระคืนแก่โจทก์และปรากฎต่อมาว่าจำเลยมิได้ชำระหนี้ตามกำหนดเวลาที่ระบุไว้ในใบแจ้งรายการการใช้บัตรเครดิตทำให้จำเลยยังมีหนี้ค้างชำระอยู่แก่โจทก์ จำเลยจึงตกเป็นลูกหนี้โจทก์ตลอดมา โดยโจทก์ได้คำนวณยอดหนี้ผิดนัดค้างชำระเพียง ณ วันที่ ๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๓ ซึ่งเป็นวันทียกเลิกการเป็นสมาชิกบัตรเครดิตของจำเลย จำเลยคงค้างชำระหนี้บัตรเครดิตเป็นต้นเงิน ๓๐,๐๗๐.๔๗ บาท ดอกเบี้ยจำนวน ๑,๙๐๖.๘๔. บาท ค่าธรรมเนียมอื่น ๐.๐๐ บาท รวมเป็นเงินจำนวน ๓๑,๙๗๗.๓๑ บาท ซึ่งยอดหนี้ดังกล่าวโจทก์ได้แจ้งให้จำเลยชำระคืนทั้งหมดแก่โจทก์แล้วแต่จำเลยยังคงเพิกเฉย รายละเอียดปรากฎตามสำเนาใบแจ้งยอดบัญชีรายเดือนและสำเนาใบบันทึกยอดหนี้เอกสารท้ายฟ้องหมายเลข ๖ – ๗
ต่อมาจำเลยได้นำเงินมาชำระหนี้คืนแก่โจทก์บางส่วน ๙ ครั้ง โดยได้ชำระหนี้ครั้งสุดท้ายในวันที่ ๒๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ จำนวน ๕๐๐ บาท ซึ่ง ณ วันดังกล่าวจำเลยยังคงค้างชำระหนี้โจทก์เป็นต้นเงิน ๒๖,๐๖๕.๓๐ บาท ดอกเบี้ย ๔,๔๔๑.๖๗ บาท รวมเป็นเงินจำนวน ๓๐,๕๐๖.๙๗ บาท หลังจากนั้นจำเลยก็ไม่ได้ชำระหนี้แก่โจทก์อีกแต่อย่างใด การกระทำดังกล่าวของจำเลยทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายขาดประโยชน์รายได้จำเลยจะต้องรับผิดชำระหนี้แก่โจทก์ในหนี้ต้นเงิน ๒๖,๐๖๕.๓๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราตามประกาศธนาคารแห่งประเทศไทยและประกาศอัตราดอกเบี้ยโจทก์ร้อยละ ๒๐ ต่อปีของต้นเงิน จำนวนดังกล่าวโดยคำนวณดอกเบี้ยสะสมนับตั้งแต่วันที่ ๒๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ จนถึงวันฟ้องเป็นดอกเบี้ยค้างชำระรวมกับดอกเบี้ยสะสมถึงวันฟ้องจำนวน ๙,๕๙๗.๕๗ บาท รวมเป็นเงินที่จำเลยจะต้องรับผิดต่อโจทก์ในมูลหนี้บัตรเครดิตจำนวน ๓๕,๖๖๒.๘๗ บาท รายละเอียดปรากฏตาม สำเนาใบรายการคำนวณดอกเบี้ยค้างชำระ เอกสารท้ายคำฟ้อง หมายเลข ๘
ข้อ ๔. มูลหนี้ที่ ๒ เมื่อประมาณเดือนพฤษภาคม ๒๕๔๙ จำเลยได้สมัครขอใช้บริการสินเชื่อหมุนเวียน สปีดี้แคช กับโจทก์ โดยจำเลยตกลงและรับทราบยินยอมปฏิบัติตามข้อกำหนดและเงื่อนไขของสัญญาสินเชื่อหมุนเวียน (สปีดี้แคช) ทุกประการโดยโจทก์ได้ตกลงอนุมัติวงเงินสินเชื่อหมุนเวียนสปีดี้แคช ให้แก่จำเลยในวงเงินจำนวน ๔๐,๐๐๐ บาท โดยได้ออกบัตรสมาชิกสปีดี้แคช เลขที่ xxxx-xxxx-xxxx-xxxx พร้อมรหัสส่วนตัวจัดส่งให้แก่จำเลย เพื่อให้จำเลยใช้เบิกถอนวงเงินสินเชื่อหมุนเวียน สปีดี้แคช ตามที่ระบุไว้ในสัญญา สินเชื่อหมุนเวียน สปีดี้แคช โดยจำเลยตกลงยินยอมให้โจทก์เปิดบัญชีสินเชื่อหมุนเวียนสปีดี้แคช ไว้กับโจทก์ ทั้งนี้ตามเงื่อนไขรูปแบบวิธีการและรายละเอียดที่โจทก์กำหนด โดยโจทก์และจำเลยตกลงกันว่าให้หักทอนหนี้ระหว่างกันและให้ถือว่าบัญชีนั้นเป็นบัญชีเดินสะพัดและให้ใช้บัตร สปีดี้แคช ซึ่งโจทก์ได้ออกบัตรพรัอมรหัสส่วนตัวให้ไว้กับจำเลยเพื่อการเบิกถอนเงินจากบัญชีดังกล่าวโดยจำเลยจะนำเงินเข้าฝากรวมทั้งมีสิทธิเบิกเงินเกินบัญชีจากบัญชีเดินสะพัดดังกล่าวตามวงเงินที่จะได้รับจากโจทก์ในลักษณะหมุนเวียน โดยจำเลยมีสิทธิเบิกเงินเกินบัญชีในวงเงินที่โจทก์จะพิจารณาอนุมัติและแจ้งให้จำเลยทราบเป็นหนังสือหรือบอกกล่าวแก่จำเลยในรูปแบบของข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งจำเลยรับทราบว่าวงเงินสินเชื่อหมุนเวียน สปีดี้แคช อาจจะมีการเปลี่ยนแปลงได้ตามข้อกำหนดและเงื่อนไขของสัญญา โดยวงเงินที่จำเลยจะมีสิทธิเบิกเงินเกินบัญชีจากโจทก์ได้จะปรากฎอยู่ในใบแจ้งยอดรายการใช้บัตร สปีดี้แคช ซึ่งโจทก์ได้จัดส่งให้แก่จำเลยในแต่ละเดือนและหากมีพฤติการณ์หรือข้อเท็จจริงอื่นใดที่โจทก์เป็นว่าจำเลยอาจตกเป็นผู้ผิดนัด หรือตกเป็นผู้ผิดนัดตามข้อกำหนดในสัญญาหรือมีเหตุจำเป็นอันทำให้จำเลยไม่อาจปฏิบัติตามข้อกำหนดในสัญญาได้ โจทก์มีสิทธิที่จะระงับการให้วงเงินสินเชื่อหมุนเวียน สปีดี้แคช ทั้งหมดหรือบางส่วนแก่จำเลยได้ทันทีในระยะเวลาใดๆ ก็ได้ โดยจำเลยมีสิทธิขอเบิกใช้วงเงินสินเชื่อหมุนเวียน สปีดี้แคช ได้ภายในกำหนดเวลา 1 ปีนับแต่วันที่โจทก์ได้อนุมัติวงเงินสินเชื่อหมุนเวียน สปีดี้แคช ให้แก่จำเลย และเมื่อจะครบกำหนดเวลาดังกล่าวจำเลยตกลงยอมรับว่าโจทก์ก็มีสิทธิจะบอกเลิกการให้สินเชื่อหมุนเวียน สปีดี้แคช แก่จำเลย โจทก์จะทำการหักทอนบัญชีเดินสะพัดและมีหนังสือแจ้งไปยังจำเลยซึ่งจำเลยจะต้องนำเงินมาชำระหนี้ที่จำเลยมีอยู่กับโจทก์ให้เสร็จสิ้นครบถ้วนภายในวันที่ครบกำหนดตามหนังสือแจ้งดังกล่าว ในการคิดดอกเบี้ยตามสัญญานี้ จำเลยตกลงยินยอมให้โจทก์จะคิดดดอกเบี้ยสำหรับต้นเงินที่จำเลยได้เบิกถอนไปเป็นรายวันในอัตราร้อยละ ๒๘ ต่อปี นับแต่วันที่จำเลยได้เบิกใช้วงเงิน สปีดี้แคช และจำเลยจะต้องชำระดอกเบี้ยทั้งหมดที่โจทก์คิดคำนวณถึงวันที่ปิดยอดให้โจทก์เป็นรายเดือน ตามวันที่ที่กำหนดไว้ในใบแจ้งยอดรายการที่โจทก์ได้จัดส่งให้แก่จำเลยในแต่ละเดือน โดยจำเลยตกลงชำระหนี้พร้อมดอกเบี้ยตามสัญญาสินเชื่อหมุนเวียน สปีดี้แคช ไม่น้อยกว่าร้อยละ ๕ ของยอดหนี้ที่จำเลยค้างชำระอยู่กับโจทก์ในวันที่ปิดยอดของแต่ละเดือนแต่ทั้งนี้ต้องไม่น้อยกว่า ๕๐๐ บาท ภายในวันที่กำหนดไว้ในใบแจ้งยอดบัญชีที่จัดส่งให้แก่จำเลยในแต่ละรอบบัญชีรายเดือน หากปรากฎว่าใบแจ้งยอดหนี้รายการที่โจทก์จัดส่งใหแกจำเลยมีข้อผิดพลาดใดๆ จำเลยต้องรีบแจ้งให้โจทก์ทราบเป็นหนังสือภายในกำหนด ๑๐ วันทำการ นับแต่วันที่โจทก์ได้จัดส่งใบแจ้งยอดรายการให้จำเลย หากพ้นกำหนดเวลาดังกล่าวจำเลยยินยอมให้ถือว่ายอดหนี้และข้อมูลต่างๆ ที่ระบุไว้ในใบแจ้งยอดรายการนั้นถูกต้องแล้ว หากจำเลยไม่ชำระต้นเงิน ดอกเบี้ย ค่าธรรมเนียม ค่าใช้จ่าย หรือจำนวนเงินใดๆ ตามจำนวนตามกำหนดเวลาที่ระบุไว้ในสัญญา หรือเมื่อจำเลยถูกฟ้องร้องดำเนินคดี หรือเมื่อเกิดเหตุการณ์อื่นใดเมื่อโจทก์เป็นว่าการจ่ายเงินกู้ให้แก่จำเลย อาจทำให้โจทก์เสียหายได้ หรือจำเลยไม่สามารถหรือจ่าจะสามารถชำระหนี้ให้แก่โจทก์ได้ครบถ้วนรวมทั้งในกรณีที่โจทก์เห็นสมควรยกเลิกใช้วงเงิน สปีดี้แคช ของจำเลยนไม่ว่าด้วยเหตุใดๆ ทั้งสิ้น ในกรณีที่จำเลยเป็นผู้ผิดนัด ผิดเงื่อนไขดังกล่าวแล้วและโจทก์ได้แจ้งเป็นหนังสือไปยังจำเลยเพื่อให้จำเลยดำเนินการแก้ไขการผิดสัญญาหรือผิดเงื่อนไขดังกล่าวแต่จำเลยไม่ยอมดำเนินการหรือไม่สามารถดำเนินการแก้ไขให้แล้วเสร็จภายในระยะเวลาที่กำหนดไว้ในหนังสือบอกกล่าว จำเลยยินยอมให้โจทก์มีสิทธิระงับการให้วงเงิน สปีดี้แคช ตามสัญญาได้ทันทีแม้ว่าจำนวนเงินที่เบิกแต่ละเดือนจะอยู่ในวงเงินและ/หรือ หนี้ที่ค้างชำระจะอยู่ภายในวงเงินก็ตาม ตลอดจนให้โจทก์มีสิทธิบอกเลิกสัญญาและให้ถือว่าเป็นการผิดนัดในจำนวนหนี้ทั้งหมดและให้บรรดาหนี้สินตามสัญญาทั้งหมดเป็นอันถึงกำหนดชำระทันที และจำเลยตกลงชำระหนี้สินดังกล่าวให้แก่โจทก์ทันที รวมทั้งยินยอมเสียดอกเบี้ยในต้นเงินที่ค้างชำระในอัตราตามที่กำหนดไว้ในสัญญาให้แก่โจทก์ จนกว่าจะชำระหนี้ทั้งหมดเสร็จสิ้นตลอดจนยินยอมเสียค่าธรรมเนียมการชำระล่าช้าให้แก่โจทก์อีกด้วย รายละเอียดปรากฎตามสำเนาแบบคำขอสมัครบัตรเครดิตและคำขอสินเชื่อหมุนเวียน สปีดี้แคช และสำเนาหนังสือแบบขอเสียอากรเป็นตัวเงินเอกสารท้ายคำฟ้องหมายเลข ๙ – ๑๐
ข้อ ๕. เมื่อจำเลยได้รับอนุมัติให้ใช้บริการสินเชื่อหมุนเวียน สปีดี้แคช แล้ว โจทก์ได้จัดส่งบัตรสปีดี้แคช พร้อมรหัสประจำตัวให้แก่จำเลยและจำเลยก็ได้ใช้บัตรสปีดี้แคช เบิกเงินตามข้อกำหนดและเงื่อนไขของสัญญาสินเชื่อหมุนเวียน สปีดี้แคช เรื่อยมาและจำเลยได้นำเงินเข้าฝากเพื่อให้โจทก์หักทอนบัญฃีทุกๆ เดือนต่อมาภายหลังปรากฎว่าจำเลยได้ใช้บัตรสปีดี้แคช เบิกเงินสดไปจากโจทก์เป็นจำนวนมากเต็มวงเงินที่ได้อนุมัติ แต่ครั้นเมื่อโจทก์ได้ส่งใบแจ้งยอดรายการหนี้ที่ค้างชำระไปเรียกเก็บเงินจากจำเลยเป็นปกติทุกๆ เดือน จำเลยกลับผิดนัดไม่ชำระหนี้ที่เกิดจากการใช้บัตรสปีดี้แคช ให้แก่โจทก์แต่อย่างใดคงปล่อยให้เป็นยอดหนี้ค้างชำระกับโจทก์เรื่อยมาตลอดมาซึ่งโจทก์ได้คิดดอกเบี้ย (ไม่ทบต้น) กับจำเลยในอัตราดอกเบี้ยสินเชื่อหมุนเวียน สปีดี้แคช ตามประกาศอัตราดอกเบี้ยของโจทก์ที่กำหนดขึ้นภายใต้ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย ในเรื่องการเรียกดอกเบี้ย เบี้ยปรับและค่าบริการอื่นที่สถาบันการเงินอาจเรียกเก็บได้ในการประกอบกิจการสินเชื่อบุคคลตลอดมา โดยจำเลยมียอดหนี้ผิดนัดค้างชำระ ณ วันที่ ๒๕ มกราคม ๒๕๕๓ จำเลยมียอดหนี้ค้างชำระเป็นต้นเงิน ๓๖,๘๙๙.๕๙ บาท ดอกเบี้ย ๒,๓๒๘.๕๑ บาท ค่าธรรมเนียม ๐.๐๐ บาท รวมเป็นเงินจำนวน ๓๙,๒๑๘.๑๐ บาท ซึ่งยอดหนี้ดังกล่าวโจทก์ได้แจ้งให้จำเลยชำระหนี้ทั้งหมดคืนแก่โจทก์แล้วแต่จำเลยคงเพิกเฉยรายละเอียดปรากฎตาม สำเนาใบแจ้งยอดรายการใช้บัตรรายเดือนพร้อมสำเนาใบบันทึกยอดหนี้ เอกสารท้ายคำฟ้อง หมายเลข ๑๑ – ๑๒
ข้อ ๖. ต่อมาโจทก์ไม่ประสงค์ให้จำเลยใช้วงเงินอีกต่อไป จึงได้ยกเลิกวงเงินสินเชื่อหมุนเวียน สปีดี้แคช กับจำเลยและได้ติดตามทวงถามให้จำเลยชำระหนี้แก่โจทก์หลายครั้งหลายหนแต่จำเลยกลับเพิกเฉยไม่ชำระหนี้แก่โจทก์ตามจำนวนยอดหนี้ในใบแจ้งยอดบัญชีแต่อย่างใด ต่อมาจำเลยได้นำเงินมาชำระหนี้แก่โจทก์รวม 8 ครั้ง โดยได้ชำระหนี้ครั้งสุดท้ายในวันที่ ๒๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๔ ซึ่งเป็นการชำระหนี้ในส่วนดอกเบี้ยเพียงบางส่วนหลังจากนั้นก็ไม่ได้ชำระหนี้โจทก์อีกแต่อย่างใด การกระทำดังกล่าวของจำเลยทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย จำเลยจึงต้องรับผิดชำระหนี้แก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยสำหรับสินเชื่อหมุนเวียนตามประกาศธนาคารโจทก์ในอัตราร้อยละ ๒๘ ต่อปี ของต้นเงิน ๓๖,๘๘๙.๕๙ บาท โดยโจทก์คิดดอกเบี้ยสะสมนับแต่วันที่ ๒๖ มกราคม ๒๕๕๓ จนถึงวันฟ้องเป็นดอกเบี้ยสะสมรวมกับดอกเบี้ยค้างชำระทั้งสิ้นจำนวน ๒๔,๕๒๒.๙๗ บาท รวมเป็นเงินที่จำเลยจะต้องรับผิดต่อโจทก์ในมูลหนี้สินเชื่อบุคคลสปีดี้แคชทั้งสิ้นจำนวน ๖๑,๔๑๒.๕๖ บาท รายละเอียดปรากฎตาม สำเนาใบคำนวนดอกเบี้ยค้างชำระ เอกสารท้ายคำฟ้องหมายเลข ๑๓
รวมยอดหนี้ที่จำเลยค้างชำระแก่โจทก์ทั้งสองมูลหนี้ทั้งสิ้นจำนวน ๙๗,๐๗๕.๔๓ บาท ซึ่งโจทก์ขอถือเอาเป็นทุนทรัพย์ในคดีนี้
การคิดดอกเบี้ยของโจทก์ในหลายช่วงหลายอัตราโจทก์อาศัยอำนาจตามประกาศธนาคารแห่งประเทศไทยและประกาศอัตราดอกเบี้ยธนาคารโจทก์ รายละเอียดปรากฎตามสำเนาประกาศธนาคารแห่งประเทศไทยและสำเนาประกาศอัตราดอกเบี้ยธนาคารโจทก์ เอกสารท้ายคำฟ้องหมายเลข ๑๔ – ๑๕
ก่อนฟ้องคดีนี้ โจทก์ได้มีหนังสือทวงถามให้จำเลยชำระหนี้คืนแก่โจทก์โดยชอบแล้วแต่จำเลยเพิกเฉยไม่ชำระหนี้คืนแก่โจทก์แต่อย่างใด
โจทก์ไม่มีทางใดที่จะบังคับกับจำเลยได้ จึงต้องฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้เพื่อขออำนาจศาลบังคับ
ควรมิควรแล้วแต่จะโปรด
คำขอท้ายฟ้องคดีผู้บริโภค
ขอศาลโปรดออกหมายเรียกจำเลยมาพิจารณาพิพากษาและบังคับจำเลยตามคำขอต่อไปนี้
๑. ขอให้จำเลยชำระเงิน จำนวน ๙๗,๐๗๕.๔๓ บาท แก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ ๒๐ต่อปี ของต้นเงินจำนวน ๒๖,๐๖๕.๓๐ บาท และดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ ๒๘ ต่อปีของต้นเงินจำนวน ๓๖,๘๘๙.๕๙ บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไป จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์กับให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์
๒. ให้จำเลยกระทำหรืองดเว้นการกระทำ -
๓. ให้จำเลยส่งมอบสิ่งของ -
๔. อื่นๆ -
ข้าพเจ้ายื่นมาพร้อมสำเนาโดยข้อความถูกต้องเป็นอย่างเดียวกันมาด้วย หนึ่ง ฉบับ และรอฟังคำสั่งอยู่
หากไม่รอถือว่าทราบแล้ว
................โจทก์
(นาย ป.) ทนายโจทก์
ข้าพเจ้า........เจ้าพนักงานคดี/ผู้บันทึก
ข้าพเจ้า นาย ป. ทนายความ ใบอนุญาตที่ ...../..... ผู้เรียง/พิมพ์
(นาย ป.) ทนายโจทก์