ข้อเท็จจริงในคดีนี้เป็นเรื่อง ละเมิด รถชนกัน โดยบริษัทผู้รับประกันภัยค้ำจุนนำคดีมาฟ้องจำเลยที่ ๑ ซึ่งเป็นบุคคลธรรมดา ผู้ขับขี่รถยนต์ที่กระทำละเมิด และฟ้องจำเลยที่ ๒ ซึ่งเป็นสำนักงานเขต...แห่งหนึ่ง คำฟ้องมีเนื้อหาดังนี้
ข้อหาหรือฐานความผิด ละเมิด , รับประกันภัย ,รับช่วงสิทธิ์ เรียกร้องค่าเสียหาย
จำนวนทุนทรัพย์ ๔๖,๗๐๖.๒๕ บาท
ข้อ ๑. โจทก์เป็นนิติบุคคลตามกฎหมายประเภทบริษัทมหาชน ปัจจุบันใช้ชื่อว่า บริษัท แม่น้ำใหญ่ประกันภัย (จำกัด) จดทะเบียนถูกต้องตามกฎหมาย มีวัตถุประสงค์ในการรับประกันวินาศภัยทุกประเภท มีกรรมการหนึ่งคนลงลายมือชื่อและประทับตราสำคัญของบริษัท มีอำนาจกระทำการแทนโจทก์ได้ ปรากฎตามสำเนาภาพถ่ายหนังสือรับรองบริษัทมหาชน เอกสารแนบท้าย หมาย ๑
ในการฟ้องและดำเนินคดีนี้โจทก์ได้มอบอำนาจให้นาย ต. เป็นผู้มีอำนาจกระทำการแทนโจทก์และมอบอำนาจช่วงได้ ปรากฎตามสำเนาภาพถ่ายสำเนาหนังสือมอบอำนาจเอกสารแนบท้ายหมาย ๒ นาย ต.ได้มอบอำนาจช่วงให้นาย จ. เป็นผู้มีอำนาจกระทำการแทนโจทก์ได้ ปรากฎตามสำเนาภาพถ่ายสำเนาหนังสือมอบอำนาจช่วง เอกสารแนบท้าย หมาย ๓
โจทก์เป็นผู้รับประกันภัยรถยนต์ คันหมายเลข พศ ...... กรุงเทพมหานคร ไว้จากคุณ ย. ในประเภทชดใช้ค่าสินไหมทดแทนอย่างสิ้นเชิง มีอายุการคุ้มครอง ๑ ปี เริ่มต้นวันที่ ๘ มีนาคม ๒๕๕๔ สิ้นสุดวันที่ ๘ มีนาคม ๒๕๕๕ ปรากฏตามสำเนาภาพถ่ายตารางกรมธรรม์เลขที่ 1xxxxxx๐/๕๔๐๓xxxx-๙ ปรากฏตามสำเนาภาพถ่ายสำเนาตารางกรมธรรม์ หมาย ๔
จำเลยที่ ๑ เป็นผู้ขับขี่รถยนต์บรรทุกขยะ คันหมายเลข ..... กรุงเทพมหานคร ในขณะเกิดเหตุ มีฐานะเป็นลูกจ้างหรือตัวแทนหรือตัวแทนเชิดของจำเลยที่ ๒ จำเลยที่ ๑ ได้ใช้รถยนต์บรรทุกขยะคันดังกล่าวไปในทางการที่จ้างหรือตามคำสั่งหรือเพื่อให้สมประโยชน์ร่วมกันกับจำเลยทั้งสอง
จำเลยที่ ๒ เป็นนิติบุคคลของทางราชการที่จัดตั้งขึ้นตามกฎหมาย และเจ้าของรถยนต์บรรทุกขยะ คันหมายเลข ....... กรุงเทพมหานคร ในขณะเกิดเหตุ ปรากฎตามสำเนาภาพถ่ายรายการจดทะเบียน เอกสารจัดส่งในชั้นพิจารณา มีฐานะเป็นนายจ้างหรือตัวการหรือตัวการแทนเชิดของจำเลยที่ ๑ จำเลย จำเลยที่ ๒ ยินยอมให้จำเลยที่ 1 ได้ใช้รถยนต์บรรทุกขยะคันดังกล่าวไปในทางการที่จ้างหรือตามคำสั่งหรือเพื่อให้สมประโยชน์ร่วมกันกับจำเลยทั้งสอง
ข้อ ๒. เมื่อวันที่ ๓ มิถุนายน ๒๕๕๔ เวลาประมาณ ๑๑.๓๐ นาฬิกา อันเป็นช่วงระยะเวลาที่โจทก์ได้รับประกันภัยรถยนต์ คันหมายเลข พศ ...... กรุงเทพมหานคร ในขณะเกิดเหตุ ไว้ตามข้อ ๑. นาย ย. ผู้ขับขี่รถยนต์คันที่โจทก์รับประกันภัยได้ขับรถยนต์ถูกต้องตามกฎหมายแล้วทุกประการ รถยนต์คันที่โจทก์รับประกันภัยได้ขับมาตามถนนทางเบี่ยงเข้าทางหลวงหมายเลข ๙ (ทางด่วนกาญจนาภิเษก) จากทางด้านถนนอ่อนนุชมุ่งหน้าทางด้านถนนมอเตอร์เวย์พระราม 9 ในช่องทางที่ 1 นับจากซ้ายมือ ถนนทางเบี่ยงเข้าทางหลวงหมายเลข ๙ (ด่วนกาญจนาภิเษก) มี ๓ ช่องทางไปบางประอิน เมื่อถึงบริเวณที่เกิดเหตุบนถนนทางเบี่ยงเข้าทางหลวงหมายเลข ๙ แขวงประเวศ เขตประเวศ กรุงเทพฯ จำเลยที่ 1 ได้ขับขี่รถยนต์บรรทุกขยะคันดังกล่าวมาด้วยความประมาทปราศจากความระมัดระวัง ซึ่งบุคคลนั้นจักต้องมีตามวิสัยและพฤติการณ์ แต่จำเลยที่ ๑ หาได้ใช้ความระมัดระวังเช่นนั้นไม่ กล่าวคือจำเลยที่ ๑ ได้ขับขี่รถยนต์บรรทุกขยะคันดังกล่าวมาด้วยความเร็วมาตามถนนทางเบี่ยงเข้าทางหลวงหมายเลข ๙ ในช่องทางที่ 1 นับจากซ้ายมือตามหลังรถยนต์คันที่โจทก์รับประกันภัย ในระยะกระชั้นชิดและไม่เว้นระยะห่างพอสมควร ตามที่กฎหมายจราจรทางบกกำหนดไว้ ในช่องทางและทิศทางเดียวกัน เมื่อถึงบริเวณที่เกิดเหตุบนถนนทางเบียงเข้างทางหลวงหมายเลข ๙ (ทางด่วนกาญจนาภิเษก) จำเลยที่ 1 ได้ขับขี่รถยนต์บรรทุกขยะคันดังกล่าวลงสะพานมาด้วยความเร็ว เมื่อรถยนต์คันที่โจทก์รับประกันภัยได้ชะลอความเร็วรถยนต์ตามรถยนต์คันหน้า รถยนต์บรรทุกขยะของจำเลยที่ ๑ ที่ขับขี่มาในระยะกระชั้นชิดและไม่เว้นระยะห่างพอสมควรตามกฎหมายห้ามล้อหยุดรถไม่ทันพุ่งชนท้ายรถยนต์คันที่โจทก์รับประกันภัยอย่างแรง รถยนต์ทั้งสองคันเฉี่ยวชนกันได้รับความเสียหาย รถยนต์คันที่โจทก์รับประกันภัยได้รับความเสียหายบริเวณด้านท้ายและด้านข้างซ้ายขวา เช่น กันชนหลังบุบดุ้ง, ฝากระโปรงหลังบุบดุ้ง, บังโคลนหลังซ้ายขวาดุ้ง, ไฟท้ายซ้ายขวาแตกและรายการอื่นๆ อีกเป็นต้น ปรากฎตามสำเนาภาพถ่ายความเสียหายของรถยนต์แท็กซี่คันที่โจทก์รับประกันภัยเอกสารแนบท้าย หมาย ๕
หลังเกิดเหตุ เจ้าพนักงานตำรวจสถานีตำรวจนครบาลประเวศ โดยพันตำรวจตรี ม. ได้ทำการสอบสวนและลงความเห็นว่าจำเลยที่ ๑ เป็ นฝ่ายประมาท เจ้าพนักงานตำรวจแจ้งข้อหาจำเลยที่ ๑ ว่า “ขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้ทรัพย์สินผู้อื่นเสียหาย” จำเลยที่ ๑ ให้การรับสารภาพและยินยอมให้เปรียบเทียบปรับเป็นเงินจำนวน ๔๐๐ บาท ปรากฏตามสำเนาภาพถ่ายประจำวันเกี่ยวกับคดี เอกสารแนบท้าย หมาย ๖
โจทก์ในฐานะผู้รับประกันภัยรถยนต์คันดังกล่าว จึงได้ดำเนินการจัดซ่อมรถยนต์คันที่โจทก์รับประกันภัยให้อยู่ในสภาพดีดังเดิม ตามสัญญากรมธรรม์ประกันภัยเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ปรากฎตามสำเนาภาพถ่ายรถยนต์คันที่โจทก์รับประกันภัยในขณะซ่อมและซ่อมเสร็จแล้ว เอกสารแนบท้าย หมาย ๗ โจทก์ได้เสียค่าใช้จ่ายในการจัดซ่อมเป็นเงินค่าแรงค่าอะไหล่จำนวน ๓๙,๐๐๐ บาท เมื่อวันที่ ๒ กันยายน ๒๕๕๔ ปรากฎตามสำเนาภาพถ่ายใบเสนอราคา เอกสารแนบท้าย หมาย ๘, ใบสั่งจ่าย (สินไหมรถยนต์) เอกสารแนบท้าย หมาย ๙ และใบเสร็จรับเงิน เอกสารจัดส่งในชั้นพิจารณา
โจทก์จึงเป็นผู้รับช่วงสิทธิ์ตามกฎหมายจากผู้เอาประกันภัย ในอันที่จะเรียกร้องค่าเสียหายในการจัดซ่อมรถยนต์คันที่โจทก์รับประกันภัยจำนวนเงิน ๓๙,๐๐๐ บาท จากจำเลยที่ ๑ ในฐานะผู้กระทำละเมิดและจำเลยที่ ๒ ในฐานะเจ้าของรถยนต์บรรทุกขยะคันดังกล่าว มีฐานะนายจ้างหรือตัวการหรือตัวแทนเชิดของจำเลยที่ 1 จำเลยที่ ๒ ยินยอมให้จำเลยที่ ๑ ได้ใช้รถยนต์คันดังกล่าวไปในทางการที่จ้างหรือตามคำสั่งหรือเพื่อให้สมประโยชน์ร่วมกันกับจำเลยทั้งสอง ในขณะเกิดเหตุ โจทก์ได้พยายามติดตามทวงถามจำเลยทั้งสองมาหลายครั้ง แต่จำเลยทั้งสองก็เพิกเฉย ทำให้โจทก์ต้องเสียหายเพิ่มเติมเป็นเงินจำนวน ๓,๐๐๐ บาท ในการว่าจ้างสำนักกฎหมาย น. เป็นผู้ฟ้องร้องดำเนินคดีทางศาลต่อจำเลยทั้งสอง ปรากฎตามสำเนาภาพถ่ายสัญญาจ้างฟ้องร้องดำเนินคดีฯ เอกสารแนบท้าย หมาย ๑๑ โจทก์ไม่มีทางอื่นใดที่จะบังคับเอากับจำเลยทั้งสองได้ โจทก์จึงต้องนำคดีขึ้นสู่ศาลนี้ เพื่อขออำนาจศาลเป็นที่พึ่ง โจทก์ขอให้ศาลได้โปรดพิจารณาพิพากษาให้จำเลยทั้งสองหรือจำเลยคนใดคนหนึ่งแทนกันชำระเงินจำนวน ๓๙,๐๐๐ บาทพร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปีต้นเงินดังกล่าวนับถัดจากวันจ่ายจนถึงวันฟ้องเป็นระยะเวลา ๗ เดือนเป็นเงินจำนวน ๑,๗๐๖.๒๕ บาทและดอกเบี้ยตามกฎหมายของต้นเงินดังกล่าวนับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ รวมทั้งค่าเสียหายเพิ่มเติมในการติดตามทวงถามจำนวนเงิน ๓,๐๐๐ บาทและค่าเสียหายเพิ่มเติมในการฟ้องร้องดำเนินคดีทางศาลเป็นจำนวนเงิน ๓,๐๐๐ บาท รวมเป็นทุนทรัพย์ในคดีจำนวนเงิน ๔๖,๗๐๖.๒๕ บาท
สถานที่เกิดเหตุบนถนนทางเบี่ยงเข้าทางหลวงหมายเลข ๙ (ด่วนกาญจนาภิเษก) แขวงประเวศ เขตประเวศ กรุงเทพมหานคร
ควรมิควรแล้วแต่จะโปรด
คำขอท้ายฟ้องแพ่ง
เพราะฉะนั้นขอศาลออกหมายเรียกตัวจำเลยมาพิจารณาพิพากษาและบังคับจำเลยตามคำขอต่อไปนี้
๑.ขอให้จำเลยทั้งสอหรือจำเลยคนใดคนหนึ่งแทนกันขำระเงินจำนวน ๔๖,๗๐๖.๒๕ บาท คืนแก่โจทก์
๒.ขอให้จำเลยทั้งสองหรือจำเลยคนใดคนหนึ่งแทนกันชำระดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี ต้นเงินจำนวน ๓๙,๐๐๐ บาท นับถัดจากวันจ่ายจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
๓.ขอให้จำเลยทั้งสองหรือจำเลยคนใดคนหนึ่งแทนกันชำระค่าฤชาธรรมเนียมและคาทนายความแทนโจทก์
๔. ......
ข้าพเจ้าไดยื่นสำเนาคำฟ้องโดยข้อความถูกต้องเป็นอย่างเดียวกันมาด้วย ๓ ฉบับ และรอฟังคำสั่งอยู่ ถ้าไม่รอให้ถือว่าทราบแล้ว
โจทก์
การตั้งรูปคดีเช่นนี้ เมื่อพิเคราะห์ตามกฎหมายแล้ว โจทก์ในคดีนี้เมื่อยื่นคำฟ้งอแล้วถึงแพ้คดีทันทีกล่าวคือ
ตามพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. ๒๕๓๙ บัญญัติดังนี้
มาตรา ๕ หน่วยงานของรัฐต้องรับผิดต่อผู้เสียหายในผลแห่งละเมิดที่เจ้าหน้าที่ขอตนได้กระทำในการปฏิบัติหน้าที่ ในกรณีนี้ผู้เสียหายอาจฟ้องหน่วยงานของรัฐดังกล่าวได้โดยตรงแต่จะฟ้องเจ้าหน้าที่ไม่ได้
ถ้าการละเมิดเกิดจากเจ้าหน้าที่ซึ่งไม่ได้สังกัดหน่วยงานของรัฐแห่งใดให้ถือว่า กระทรวงการคลังเป็นหน่วยงานของรัฐที่ต้องรับผิดตามวรรคหนึ่ง
ความบกพร่องของฟ้องนี้ คือ
๑.จำเลยที่ ๑ เป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ ดังนั้น ผู้เสียหายอาจฟ้องหน่วยงานของรัฐดังกล่าวได้โดยตรงแต่จะฟ้องเจ้าหน้าที่ไม่ได้ ตามมาตรา ๕ วรรคแรก
๒.จำเลยที่ ๒ ไม่ใช่นิติบุคคล แต่เป็นหน่วยงานภายใต้นิติบุคคล โจทก์ควรต้องตรวจสอบความเป็นนิติบุคคลให้ถูกต้องแล้วจึงฟ้องนิติบุคคลเป็นจำเลยที่ ๒